ตอบ เพราะ มนุษย์เป็นสัตว์ที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม หรือคำนิยามที่เรียกว่า สัตว์สังคม การที่มาร่วมกันอยู่เป็นจำนวนมาก จะต้องเกิดมีเห็นที่แตกต่างกัน เกิดการขัดแย้ง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการตั้งกฎและระเบียบขึ้นเพื่อจำกัดสิทธิบางอย่าง และให้มีเสรีภาพเท่าที่จำเป็น เพื่อที่มนุษย์จะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่ให้เกิดความขัดแย้ง เข่นฆ่ากันขึ้น กฎและระเบียบต่างๆ ในโลกนี้ มีคู่กับมนุษย์มานานแล้ว ตั้งแต่มนุษย์เริ่มรวมตัวกันเป็นกลุ่ม โดยให้นึกย้อนกลับไปเมื่อสมัยพันๆ ปีที่แล้วที่มนุษย์ยังอาศัยอยู่ตามถ้ำ ตามป่า อยู่แบบหากินตัวใครตัวมัน และยังไม่สื่อสารกันรู้เรื่อง แต่เมื่อมีการวิวัฒนาการสื่อสารกันเข้าใจ ก็เกิดการรวมตัวกันเป็นกลุ่ม เป็นเหล่า เป็นสังคม จากนั้นก็มีเกิดผู้มีอำนาจ มีกำลังที่เหนือกว่าคนอื่น ตั้งตัวเป็นหัวหน้าหรือผู้นำ แล้วออกกฎระเบียบ เพื่อปกครองกลุ่มของตน ให้อยู่ร่วมกันได้ หรือออกมาในรูปแบบพ่อมด แม่มด หรือหมอผี ซึ่งระเบียบข้อกำหนดดังกล่าวจะถูกสร้างขึ้นมาโดยถือเอาความกลัว หรือความไม่รู้ของมนุษย์เป็นตัวตั้งและกฎหมายเป็นเครื่องควบคุมประพฤติการณ์ในสังคมพัฒนาขึ้นมาจากศีลธรรม ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี ศาสนา และกฎเกณฑ์ข้อบังคับตามลำดับ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อธำรงความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของสมาชิกในสังคมกับทั้งเพื่อให้การอยู่ร่วมกันในสังคมนั้นเป็นไปโดยราบรื่น สนองความต้องการของภาคส่วนต่าง ๆ อย่างเหมาะสม
หากไม่มีกฎหมายอำนาจจะตกอยู่กับผู้ที่มีอำนาจ ไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีบทลงโทษ ในที่สุดก็จะไม่มีระเบียบวินัย บ้านเมืองมีปัญหาวุ่นวาย มนุษย์ต่างคนต่างจะทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ โดยไม่เกรงกลัวความผิด ผู้ที่มีอิทธิพลก็จะควบคุมคนในสังคม โดนการเอาเปรียบ โดยผู้ที่ไม่มีอิทธิพลไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไร ความสงบสุขก็จะหายไป
2.ท่านคิดว่าสังคมปัจจุบันจะอยู่ได้หรือไม่หากไม่มีกฎหมายและจะเป็นอย่างไร
ตอบ หากไม่มีกฎหมาย บ้านเมืองคงมีปัญหาการวุ่นวาย มนุษย์ต่างคนต่างจะทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ โดยไม่เกรงกลัวสิ่งใด คนที่มีโอกาสมากกว่าก็จะโดนเอาเปรียบ โดยผู้น้อยก็ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไร ความสงบสุขก็จะหายไป เพราะสังคมอยู่ไม่ได้ หากไม่มีกฎหมายจะเป็นบ้านเมืองที่วุ่นวาย มีปัญหาต่างๆ เกิดขึ้น การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ก่อให้เกิดความขัดแย้ง มีการทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกาย สาเหตุมาจากความไม่พึงพอใจ มีการแก่งแย่ง การแก้แค้นซึ่งกันและกัน คนที่ทำผิดก็ไม่ต้องรับโทษผู้ที่มีอิทธิพลจะอยู่สบายคอยกดขี่ข่มเหงผู้อื่นเป็นบ้านเมืองที่ป่าเถื่อน และเป็นน้านเมืองที่โหดร้าย ไม่มีความสงบเกิดความวุ่นวายในสังคม ไม่มีกฎกติกาใครคิดจะทำอะไรก็ได้ไม่มีความผิด
3. ท่านมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นของกฎหมายต่อไปนี้
ก. ความหมาย ข. ลักษณะหรือองค์ประกอบของกฎหมาย ค. ที่มาของกฎหมาย ง. ประเภทของกฎหมาย
ตอบ ก. ความหมาย
กฎหมาย คือข้อบังคบที่ทุกคนยึดถือและปฏิบัติเป็นที่ยอมรับของคนในสังคม ซึ่งผู้มีอำนาจของประเทศได้บัญญัติขึ้น และบังคับให้ผู้ที่อยู่ในประเทศนั้นถือปฏิบัติตาม เพื่อกำหนดความประพฤติของพลเมืองผู้ใดฝ่าฝืนไม่ยอมปฏิบัติตามมีความผิดและถูกลงโทษ
ข. ลักษณะหรือองค์ประกอบของกฎหมาย
หากนามาพิจารณาพอที่กำหนดเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของกฎหมายที่สำคัญคือประชาชนที่อยู่ร่วมกันในอาณาเขตเดียวกันและมีอานาจอธิปไตยเป็นของตนเองพอที่จะสรุปได้ว่าลักษณะหรือองค์ประกอบได้ 3 ประการคือ (ชิรวัฒน์นิจเนตร, 2542, 2-3;สกลสัมพันธ์กลอน, 2545,1; พิชิตรอดทอง, 2550, 4-5)
1. เป็นคาสั่งหรือข้อบังคับที่เกิดจากรัฎฐาอธิปไตยที่องค์กรหรือคณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดอาทิรัฐสภาฝ่ายนิติบัญญัติหัวหน้าคณะปฏิวัติกษัตริย์ในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สามารถใช้อำนาจบัญญัติกฎหมายได้เช่นรัฐสภาตราพระราชบัญญัติคณะรัฐมนตรีตราพระราชกำหนดพระราชกฤษฎีกาคณะปฏิวัติออกคาสั่งหรือประกาศคณะปฏิวัติชุดต่างๆถือว่าเป็นกฎหมาย
2. มีลักษณะเป็นคาสั่งข้อบังคับอันมิใช่คาวิงวอนประกาศหรือแถลงการณ์อาทิประกาศของกระทรวงศึกษาธิการคาแถลงการณ์ของคณะสงฆ์ให้ถือเป็นแนวปฏิบัติมิใช่กฎหมายสาหรับคาสั่งข้อบังคับที่เป็นกฎหมายเช่นพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. 2545 พระราชกำหนดบริหารราชการฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เป็นต้น
3. ใช้บังคับกับคนทุกคนในรัฐอย่างเสมอภาคเพื่อให้ทุกคนเกรงกลัวและถือปฏิบัติสังคมจะสงบสุขได้เช่นกฎหมายที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้ใช้บังคับกับผู้ที่มีเงินได้แต่ไม่บังคับเด็กที่ยังไม่มีเงินได้การแจ้งคนเกิดภายใน 15 วันแจ้งคนตายภายใน 24 ชั่วโมงยื่นแสดงตนเพื่อลงบัญชีทหารกองเกินเมื่ออายุย่างเข้า 18 ปีเข้ารับการตรวจคัดเลือกเป็นทหารประจาการเมื่ออายุย่างเข้า 21 ปีเป็นต้น
4. มีสภาพบังคับซึ่งบุคคลจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายโดยเฉพาะการกระทาและการงดเว้นการกระทาตามกฎหมายนั้นๆกำหนดหากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามฝ่าฝืนอาจถูกลงโทษหรือไม่ก็ได้และสภาพบังคับในทางอาญาคือโทษที่บุคคลผู้ที่กระทาผิดจะต้องได้รับโทษเช่นรอลงอาญาปรับจาคุกกักขังริมทรัพย์แต่หากเป็นคดีแพ่งผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือค่าเสียหายหรือชาระหนี้ด้วยการส่งมอบทรัพย์สินให้กระทาหรืองดเว้นกระทาอย่างใดอย่างหนึ่งตามมูลหนี้ที่มีต่อกันระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้เช่นบังคับใช้หนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยบังคับให้ผู้ขายส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อตามสัญญาซื้อขายเป็นต้น
ค. ที่มาของกฎหมาย
ที่มาของกฎหมายมีตาราบางแห่งใช้ว่าบ่อเกิดของกฎหมายหรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นรูปแบบที่กฎหมายแสดงออกมาสาหรับที่มาของกฎหมายในแต่ละประเทศมีที่มาแตกต่างกันส่วนของประเทศไทยพอที่จะสรุปได้ 5 ลักษณะดังนี้ (ศรีราชาเจริญพานิช, 2525; คมชัยสุวรรณดีและคณะ, 2545; สกลสัมพันธ์กลอน, 2545; สายหยุดแสงอุทัย, 2552)
1. บทบัญญัติแห่งกฎหมายเป็นกฎหมายลักษณ์อักษรเช่นกฎหมายประมวลรัษฎากรรัฐธรรมนูญพระราชบัญญัติพระราชกำหนดพระราชกฤษฎีกากฎกระทรวงเทศบัญญัติซึงกฎหมายดังกล่าวผู้มีอานาจแห่งรัฐหรือผู้ปกครองประเทศเป็นผู้ออกกฎหมาย
2. จารีตประเพณี เป็นแบบอย่างที่ประชาชนนิยมปฏิบัติตามกันมานาน หากนาไปบัญญัติเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรแล้วย่อมมีสภาพไปเป็นกฎหมาย เช่น การชกมวยเป็นกีฬา หากชนตามกติกา หากคู่ชกบาดเจ็บสาหัสหรือถึงแก่ชีวิต ย่อมไม่ผิดฐานทาร้ายร่างกายหรือฐานฆ่าคนตาย อีกกรณีหนึ่งแพทย์รักษาคนไข้ ผ่าตัดขาแขน โดยความยินยอมของคนไข้ ย่อมถือว่าไม่มีความผิดเพราะเป็นจารีตประเพณีที่ปฏิบัติต่อกันมา ปฏิบัติโดยชอบตามกติกาหรือเกณฑ์หรือจรรยาบรรณที่กำหนดจึงไม่ถือว่าเป็นความผิดทางกฎหมาย
3. ศาสนา เป็นข้อห้ามและข้อปฏิบัติที่ดีของทุก ๆ ศาสนาสอนให้เป็นคนดี เช่น ห้ามลักทรัพย์ ห้ามผิดลูกเมีย ห้ามทาร้ายผู้อื่น กฎหมายจึงได้บัญญัติตามหลักศาสนาและมีการลงโทษ
4. คำพิพากษาของศาลหรือหลักบรรทัดฐานของคาพิพากษา ซึ่งคาพิพากษาของศาลชั้นสูงเป็นแนวทางที่ศาลชั้นต้นต้องนาไปถือปฏิบัติในการตัดสินคดีหลัง ๆ ซึ่งแนวทางเป็นเหตุผลแห่งความคิดของตนว่าทาไมจึงตัดสินคดีเช่นนี้ อาจนาไปสู่การแก้ไขกฎหมายในแนวความคิดนี้ได้ จะต้องตรงตามหลักความจริงมากที่สุด
5. ความเห็นของนักนิติศาสตร์ เป็นการแสดงความคิดเห็นของว่าสมควรที่จะออกกฎหมายอย่างนั้น สมควรหรือไม่ จึงทาให้นักนิติศาสตร์ อาจจะเป็นอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงในกฎหมายได้แสดงความคิดเห็นว่ากฎหมายฉบับนั้นได้ ในประเด็นที่น่าสนใจเพื่อที่จะแก้ไขกฎหมายให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน
ง. ประเภทของกฎหมาย
ก. กฎหมายภายใน มีดังนี้
1. กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
1.1 กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร
1.2 กฎหมายที่เป็นไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
2. กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา และกฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง
2.1 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา
2.2 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง
3. กฎหมายสารบัญญัติ และกฎหมายวิธีสาบัญญัติ
3.1 กฎหมายสารบัญญัติ
3.2 กฎหมายวิธีสาบัญญัติ
4. กฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชน
4.1 กฎหมายมหาชน
4.2 กฎหมายเอกชน
กฎหมายภายนอก
1. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง
2. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล
3. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา
4. ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรว่าทำไมทุกประเทศจำเป็นต้องมีกฎหมายจงอธิบาย
ตอบ เพื่อเอาไว้ลงโทษผู้ที่กระทำความผิด ข้อบังคับที่ใช้ควบคุมความประพฤติของมนุษย์ในสังคม เพราะกฎหมายนั้นเกิดขึ้นจากสังคมและเพื่อสังคมไม่อาจมีสังคมไหนจะธำรงอยู่ได้โดยไม่รู้สึกต้องการกฎเกณฑ์สำหรับจัดระเบียบพฤติการณ์ในสังคม มนุษย์จำต้องมีกฎเกณฑ์เพื่อการใช้ชีวิตในประเทศให้มีความสุข การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ทำร้ายร่างกาย สาเหตุมาจากความไม่พึงพอใจ มีการแก่งแย่ง การแก้แค้นซึ่งกันและกัน ถ้ามีการใช้กำลังกันบ่อยเข้าสังคมมนุษย์จึงไม่อาจดำรงอยู่ได้ ความมีเหตุผลเป็นพื้นฐานที่สังคมมนุษย์พัฒนาการจากสังคมเล็กที่สุด คือครอบครัว ไปสู่สังคมที่ใหญ่ที่สุดคือ รัฐจึงทำให้มนุษย์สร้าง กฎเกณฑ์ ระเบียบแบบแผนขึ้น ระบบระเบียบแบบแผนที่มนุษย์สร้างขึ้นใช้เป็นเกณฑ์สร้างความสัมพันธ์เหล่านี้ เป็นแนวทางหรือกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เป็นแบบแผนเพื่อควบคุมควบความประพฤติสมาชิกในสังคมรวมทั้งเพื่อรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคม
5. สภาพบังคับทางกฎหมาย ท่านมีความเข้าใจ ว่า อย่างไร จงอธิบาย
ตอบ กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ กฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ที่กำหนดความประพฤติของมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์จำต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ จึงจำเป็นต้องมีสภาพบังคับในกรณีที่มีการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์กฎหมายใดไม่มีสภาพบังคับ ไม่เรียกว่าเป็นกฎหมาย สภาพบังคับ (SANCTION) ของกฎหมายคือโทษต่างๆในกฎหมาย ถ้าเป็นสภาพบังคับอาญา ได้แก่ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ ริบทรัพย์สิน ส่วนสภาพบังคับของกฎหมายแพ่ง ได้แก่การกำหนดให้การกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายนั้นตกเป็นโมฆะหรือโมฆียะ เป็นต้น
6. สภาพบังคับกฎหมายในอาญาและทางแพ่ง มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
ตอบ แตกต่างกันด้วยสภาพบังคับ ในกฎหมายแพ่งนั้น มีสภาพบังคับประเภทหนึ่ง คือ ถ้าหากมีการล่วงละเมิดกฎหมายแพ่ง บุคคลผู้ร่วงละเมิดไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล ก็อาจะถูกยึดทรัพย์ขายทอดตลาดเอาเงินที่ขายได้มาชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาล ส่วนในกฎหมายอาญานั้นมีสภาพบังคับประเภทหนึ่ง คือ โทษทางอาญาซึ่งกฎหมายได้บัญญัติไว้สำหรับความผิด ซึ่งโทษดังกล่าวมีอยู่ 5 สถานด้วยกัน คือ ประหาร จำคุก กักขัง ปรับ และริบทรัพย์
7. ระบบกฎหมายเป็นอย่างไรจงอธิบาย
ตอบ ระบบกฎหมายมี 2 ระบบ
1. ระบบซีวิลลอร์ (Civil Law System) หรือระบบลายลักษณ์อักษร ถือกำเนิดขึ้นในทวีปยุโรปราวคริสต์ศตวรรษที่ 12 เป็นระบบเอามาจาก “Jus Civile” ใช้แยกความหมาย “Jus Gentium” ของโรมัน ซึ่งมีลักษณะพิเศษกล่าวคือ เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่มีความสำคัญกว่าอย่างอื่น คาพิพากษาของศาลไม่ใช่ที่มาของกฎหมาย แต่เป็นบรรทัดฐานแบบอย่างของการตีความกฎหมายเท่านั้น เริ่มต้นจากตัวบทกฎหมายเป็นสำคัญ จะถือเอาคาพิพากษาศาลหรือความคิดเห็นของ นักกฎหมายเป็นหลักไม่ได้ ยังถือว่า กฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนเป็นคนละส่วนกัน และการวินิจฉัยคดีผู้พิพากษาเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด กลุ่มประเทศที่ใช้กฎหมายนี้ ประเทศยุโรป เช่น อิตาลี เยอรมัน ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ และประเทศตะวันออก เช่น ไทย ญี่ปุ่น
2. ระบบคอมมอนลอว์ (Common Law System) เกิดและวิวัฒนาการขึ้นในประเทศอังกฤษมีรากเหง้ามาจากศักดินา ซึ่งจะต้องกล่าวถึงคาว่า “เอคควิตี้ (equity) เป็นกระบวนการเข้าไปเสริมแต่งให้คอมมอนลอว์ เป็นการพัฒนามาจากกฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร นาเอาจารีตประเพณีและคาพิพากษา ซึ่งเป็นบรรทัดฐานของศาลสมัยเก่ามาใช้ จนกระทั่งเป็นระบบกฎหมายที่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง ประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายนี้ เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และประเทศในเครือจักรภพอังกฤษ
8. ประเภทของกฎหมายมีมีกี่ประเภท และหลักการอะไรบ้าง แต่ละประเภทประกอบด้วยอะไรบ้าง
จงยกตัวอย่าง พร้อมอธิบาย
จงยกตัวอย่าง พร้อมอธิบาย
ตอบ กฏหมายที่นำมาใช้นั้น อาจมีรูปแบบและลักษณะต่างๆ กัน การศึกษาถึงการแบ่งประเภทของกฏหมาย นอกจากจะทำให้มีความเข้าใจในลักษณะของกฏหมายประเภทต่างๆ มากขึ้นแล้ว ยังก่อให้เกิดประโยชน์ในการใช้กฏหมายได้ถูกต้องแก่กรณีด้วย ซึ่งในบทนี้จะกล่าวถึงการแบ่งประเภทของกฏหมายเป็น 3 กรณีด้วยกัน คือ
1. กฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชน
2. กฏหมายสารบัญญัติและกฏหมายวิธีสบัญญัติ
3. กฏหมายประเภทอื่นๆ
ในกรณีที่ 1 และ 2 นั้นเป็นการแบ่งประเภทของกฏหมายซึ่งเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปโดยยึดถือลักษณะของความสัมพันธ์ในกฏหมาย (แบ่งได้เป็นกฏหมายเอกสานและกฏหมายมหาชน) และยึดถือลักษณะการใช้กฏหมาย (แบ่งได้เป็นกฏหมายสารบัญญัติและกฏหมายวิธีสบัญญัติ) เป็นหลักในการพิจารณา ส่วนในกรณีที่ 3 นั้น เป็นการแบ่งประเภทของกฏหมายในกรณีอื่นๆ ซึ่งมีอยู่หลากหลายทั้งนี้ เพราะขึ้นอยู่กับผู้ที่ทำการแบ่งประเภทนั่นเองว่าจะยึดถือเกณฑ์ใดเป็นหลักเช่น
เกณฑ์แหล่งกำเนิด (แบ่งได้เป็นกฏหมายภายในและกฏหมายภายนอก) เกณฑ์รูปแบบ(แบ่งได้เป็นกฏหมายลายลักษณ์อักษรและกฏหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร) หรือเกณฑ์สภาพบังคับของกฏหมาย (แบ่งได้เป็นกฏหมายอาญาและกฏหมายแพ่ง) ซึ่งในกรณีที่ 3 นี้ เป็นการแบ่งแยกประเภทของกฏหมายเพื่อใช้เฉพาะกรณีๆ ไป
2. กฏหมายสารบัญญัติและกฏหมายวิธีสบัญญัติ
3. กฏหมายประเภทอื่นๆ
ในกรณีที่ 1 และ 2 นั้นเป็นการแบ่งประเภทของกฏหมายซึ่งเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปโดยยึดถือลักษณะของความสัมพันธ์ในกฏหมาย (แบ่งได้เป็นกฏหมายเอกสานและกฏหมายมหาชน) และยึดถือลักษณะการใช้กฏหมาย (แบ่งได้เป็นกฏหมายสารบัญญัติและกฏหมายวิธีสบัญญัติ) เป็นหลักในการพิจารณา ส่วนในกรณีที่ 3 นั้น เป็นการแบ่งประเภทของกฏหมายในกรณีอื่นๆ ซึ่งมีอยู่หลากหลายทั้งนี้ เพราะขึ้นอยู่กับผู้ที่ทำการแบ่งประเภทนั่นเองว่าจะยึดถือเกณฑ์ใดเป็นหลักเช่น
เกณฑ์แหล่งกำเนิด (แบ่งได้เป็นกฏหมายภายในและกฏหมายภายนอก) เกณฑ์รูปแบบ(แบ่งได้เป็นกฏหมายลายลักษณ์อักษรและกฏหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร) หรือเกณฑ์สภาพบังคับของกฏหมาย (แบ่งได้เป็นกฏหมายอาญาและกฏหมายแพ่ง) ซึ่งในกรณีที่ 3 นี้ เป็นการแบ่งแยกประเภทของกฏหมายเพื่อใช้เฉพาะกรณีๆ ไป
1. กฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชน
การแบ่งกฏหมายออกเป็นกฏหมายเอกชนกับกฏหมายมหาชน เป็นการแบ่งโดยยึดถือลักษณะของความสัมพันธ์เป็นเกณฑ์ กล่าวคือ ความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับด้วยกันเองเป็นเรื่องของกฏหมายเอกชน ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเอกชน เป็นกฏหมายมหาชน แต่อย่างไรก็ตาม การแยกเป็นกฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชน มีเกณฑ์ที่ใช้แบ่งแยก ดังนี้
1.1 เกณฑ์การแบ่งแยกปรเภทกฏหมายเอกชนหรือมหาชน ในการแบ่งประเภทของกฏหมายว่าเป็นกฏหมายเอกชนหรือมหาชนนั้น มีหลักเกณฑ์ที่ใช้ พิจารณาจะต้องคำนึงทั้ง 4 หลักเกณฑ์นี้ควบคู่กันไป ไม่อาจที่จะแยกคำนึงถึงหลักเกณฑ์ใดเพียงหลักเกณฑ์ได้ ดังต่อไปนี้ [1]
(1) เกณฑ์องค์กร คือ ยึดถือตัวบุคคลผู้ก่อนิติสัมพันธ์เป็นเกณฑ์
กฏหมายมหาชน ใช้บังคับกับนิติสัมพันธ์ที่ก่อขึ้นระหว่างรัฐหรือหน่วยงานของรัฐกับเอกชนหรือหระว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกันเอง
กฏหมายเอกชน ใช้บังคับกับนิติสัมพันธ์ที่ก่อขึ้นระหว่างเอกชนด้วยกันเท่านั้น
ดังนี้ จะเห็นได้ว่ากฏหมายมหาชนนั้นกำหนดความสัมพันธ์ที่ฝ่ายหนึ่งเป็นรัฐ (ผู้ปกครอง)ซึ่งมีอำนาจเหนือกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง (ผู้อยู่ใต้ปกครอง) คือเป็นนิติสัมพันธ์ที่ผู้ก่อมีสถานะไม่เท่าเทียมกันหรือเป็นนิติสัมพันธ์ที่เกี่ยวกับเรื่องการใช้อำนาจปกครองซึ่งทำขึ้นระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกันเองส่วนกฏหมายมหาชนนั้น เป็นเรื่องของผู้ก่อนิติสัมพันธ์ที่มีสถานะเหมือนกันและเท่าเทียมกัน
กฏหมายมหาชน ใช้บังคับกับนิติสัมพันธ์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์สาธารณะ
กฏหมายเอกชน ใช้กับนิติสัมพันธ์ที่ต้องอาศัยความสมัครใจของผู้ก่อนิติสัมพันธ์ทั้ง 2 ฝ่าย เนื่องจากยึดถือหลักความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน เพราะเป็นการทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวจึงต้องให้มีการทำสัญญากันอย่างเสรี หากฝ่ายใดฝ่าฝืน ต้องนำคดีขึ้นสู่ศาล เพราะต่างฝ่ายต่างเสมอภาค กันต้องให้ศาลทำหน้าที่เป็นคนกลางเข้ามาตัดสิน(4)เกณฑ์เนื้อหา
กฏหมายมหาชน เป็นกฏเกณฑ์ที่มีลักษณะทั่ว ไม่ระบุตัวบุคคล (กฏหมายตามภาวะวิสัย) คือ เป็นกฏเกณฑ์ที่ใช้ได้ทั่วไปกับบุคคลใดก็ได้ไม่เฉพาะเจาะจง และจะตกลงยกเว้นไม่ปฏิบัติตามไม่ได้ ถือว่าเป็นกฏหมายบังคับ
กฏหมายเอกชน ไม่ใช่กฏหมายบังคับ เอกชนสามารถตกลงผูกพันกันเป็นอย่างอื่น นอกจากที่กฏหมายเอกชนบัญญัติไว้ได้ (แต่ต้องไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน) ถ้าหากเอกชนไม่ตกลงให้แตกต่างออกไป ก็จะบังคับกันตามที่กฏหมายเอกชนบัญญัติไว้ (เท่ากับว่ากฏหมายเอกชนเป็นกฏหมายเสริมนั่นเอง) ดังนี้ เมื่อเอกชนยอมใช้กฏหมายเอกชนระหว่างกัน ทำให้กฏหมายเอกชนมีลักษณะเป็นกฏเกณฑ์เฉพาะเรื่องที่สร้างขึ้นเพื่อใช้กับบุคคลเฉพาะรายเท่านั้น (เป็นกฏหมายตามอัตวิสัย) เช่น ประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นต้น
(3) เกณฑ์วิธีการ วิธีการที่ใช้ในการก่อนิติสัมพันธ์ของ 2 กรณีนี้ จะแตกต่างกัน โดยสิ้นเชิงกล่าวคือ
กฏหมายมหาชน ใช้ตัวสำหรับนิติสัมพันธ์ที่ไม่ต้องอาศัยความสมัครใจของคู่สัญญาอีกอีกฝ่ายหนึ่ง (เอกชน) เลย รัฐสามารถออกคำสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตได้ และถ้ามีการฝ่าฝืน รัฐสามารถบังคับให้เอกชนปฏิบัติตามได้ทันทีโดยไม่ต้องไปฟ้องศาล ทั้งนี้ เพราะเป็นการทำเพื่อประโยชน์สาธารณะในฐานะผู้ปกครอง เช่น ตำรวจจราจรให้สัญญาณอยุดรถ ถ้ารถไม่อยุดเพราะไม่สมัครใจ จะหยุด ตำรวจจราจรสามารถปรับคนขับรถได้(Public interest) คือ เพื่อสนองความต้องการของประชาชนส่วนรวมนั่นเอง เช่น สัญญาสัมปทานที่รัฐทำกับเอกชนเพื่อจัดทำสาธารณูปโภคต่างๆ
กฏหมายเอกชน ใช้บังคับกับนิติสัมพันธ์ที่มุ่งถึงผลประโยชน์ของตน ไม่ว่าจะทรัพย์สินเงิน ชื่อเสียง เกียรติยศของบุคคลนั้นๆ เองเป็นหลัก
(2) เกณฑ์วัตถุประสงค์ คือ ยึดถือจุดประสงค์ของนิติสัมพันธ์ที่ผู้ก่อนิติสัมพันธ์ทั้ง 2 ฝ่ายทำขึ้นเป็นเกณฑ์
1.1 เกณฑ์การแบ่งแยกปรเภทกฏหมายเอกชนหรือมหาชน ในการแบ่งประเภทของกฏหมายว่าเป็นกฏหมายเอกชนหรือมหาชนนั้น มีหลักเกณฑ์ที่ใช้ พิจารณาจะต้องคำนึงทั้ง 4 หลักเกณฑ์นี้ควบคู่กันไป ไม่อาจที่จะแยกคำนึงถึงหลักเกณฑ์ใดเพียงหลักเกณฑ์ได้ ดังต่อไปนี้ [1]
(1) เกณฑ์องค์กร คือ ยึดถือตัวบุคคลผู้ก่อนิติสัมพันธ์เป็นเกณฑ์
กฏหมายมหาชน ใช้บังคับกับนิติสัมพันธ์ที่ก่อขึ้นระหว่างรัฐหรือหน่วยงานของรัฐกับเอกชนหรือหระว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกันเอง
กฏหมายเอกชน ใช้บังคับกับนิติสัมพันธ์ที่ก่อขึ้นระหว่างเอกชนด้วยกันเท่านั้น
ดังนี้ จะเห็นได้ว่ากฏหมายมหาชนนั้นกำหนดความสัมพันธ์ที่ฝ่ายหนึ่งเป็นรัฐ (ผู้ปกครอง)ซึ่งมีอำนาจเหนือกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง (ผู้อยู่ใต้ปกครอง) คือเป็นนิติสัมพันธ์ที่ผู้ก่อมีสถานะไม่เท่าเทียมกันหรือเป็นนิติสัมพันธ์ที่เกี่ยวกับเรื่องการใช้อำนาจปกครองซึ่งทำขึ้นระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกันเองส่วนกฏหมายมหาชนนั้น เป็นเรื่องของผู้ก่อนิติสัมพันธ์ที่มีสถานะเหมือนกันและเท่าเทียมกัน
กฏหมายมหาชน ใช้บังคับกับนิติสัมพันธ์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์สาธารณะ
กฏหมายเอกชน ใช้กับนิติสัมพันธ์ที่ต้องอาศัยความสมัครใจของผู้ก่อนิติสัมพันธ์ทั้ง 2 ฝ่าย เนื่องจากยึดถือหลักความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน เพราะเป็นการทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวจึงต้องให้มีการทำสัญญากันอย่างเสรี หากฝ่ายใดฝ่าฝืน ต้องนำคดีขึ้นสู่ศาล เพราะต่างฝ่ายต่างเสมอภาค กันต้องให้ศาลทำหน้าที่เป็นคนกลางเข้ามาตัดสิน(4)เกณฑ์เนื้อหา
กฏหมายมหาชน เป็นกฏเกณฑ์ที่มีลักษณะทั่ว ไม่ระบุตัวบุคคล (กฏหมายตามภาวะวิสัย) คือ เป็นกฏเกณฑ์ที่ใช้ได้ทั่วไปกับบุคคลใดก็ได้ไม่เฉพาะเจาะจง และจะตกลงยกเว้นไม่ปฏิบัติตามไม่ได้ ถือว่าเป็นกฏหมายบังคับ
กฏหมายเอกชน ไม่ใช่กฏหมายบังคับ เอกชนสามารถตกลงผูกพันกันเป็นอย่างอื่น นอกจากที่กฏหมายเอกชนบัญญัติไว้ได้ (แต่ต้องไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน) ถ้าหากเอกชนไม่ตกลงให้แตกต่างออกไป ก็จะบังคับกันตามที่กฏหมายเอกชนบัญญัติไว้ (เท่ากับว่ากฏหมายเอกชนเป็นกฏหมายเสริมนั่นเอง) ดังนี้ เมื่อเอกชนยอมใช้กฏหมายเอกชนระหว่างกัน ทำให้กฏหมายเอกชนมีลักษณะเป็นกฏเกณฑ์เฉพาะเรื่องที่สร้างขึ้นเพื่อใช้กับบุคคลเฉพาะรายเท่านั้น (เป็นกฏหมายตามอัตวิสัย) เช่น ประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นต้น
(3) เกณฑ์วิธีการ วิธีการที่ใช้ในการก่อนิติสัมพันธ์ของ 2 กรณีนี้ จะแตกต่างกัน โดยสิ้นเชิงกล่าวคือ
กฏหมายมหาชน ใช้ตัวสำหรับนิติสัมพันธ์ที่ไม่ต้องอาศัยความสมัครใจของคู่สัญญาอีกอีกฝ่ายหนึ่ง (เอกชน) เลย รัฐสามารถออกคำสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตได้ และถ้ามีการฝ่าฝืน รัฐสามารถบังคับให้เอกชนปฏิบัติตามได้ทันทีโดยไม่ต้องไปฟ้องศาล ทั้งนี้ เพราะเป็นการทำเพื่อประโยชน์สาธารณะในฐานะผู้ปกครอง เช่น ตำรวจจราจรให้สัญญาณอยุดรถ ถ้ารถไม่อยุดเพราะไม่สมัครใจ จะหยุด ตำรวจจราจรสามารถปรับคนขับรถได้(Public interest) คือ เพื่อสนองความต้องการของประชาชนส่วนรวมนั่นเอง เช่น สัญญาสัมปทานที่รัฐทำกับเอกชนเพื่อจัดทำสาธารณูปโภคต่างๆ
กฏหมายเอกชน ใช้บังคับกับนิติสัมพันธ์ที่มุ่งถึงผลประโยชน์ของตน ไม่ว่าจะทรัพย์สินเงิน ชื่อเสียง เกียรติยศของบุคคลนั้นๆ เองเป็นหลัก
(2) เกณฑ์วัตถุประสงค์ คือ ยึดถือจุดประสงค์ของนิติสัมพันธ์ที่ผู้ก่อนิติสัมพันธ์ทั้ง 2 ฝ่ายทำขึ้นเป็นเกณฑ์
1.2 ความหมายของกฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชน
จากการศึกษาลักษณะของกฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชนดังกล่าวข้างต้น จึงสรุปได้ว่า
กฏหมายเอกชน คือ กฏหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ระหว่างเอกชนต่อกันในฐานะ "ผู้อยู่ใต้ปกครอง" ที่ต่างฝ่ายต่างก็เท่าเทียมกัน [2]
กฏหมายมหาชน คือ กฏหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ระหว่างรัฐหรือหน่วยงานของรัฐกับเอกชน หรือหน่วยงานของรัฐด้วยกัน ในฐานะที่รัฐหรือหน่วยงานของรัฐเป็น "ผู้ปกครอง" [3]
จากการศึกษาลักษณะของกฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชนดังกล่าวข้างต้น จึงสรุปได้ว่า
กฏหมายเอกชน คือ กฏหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ระหว่างเอกชนต่อกันในฐานะ "ผู้อยู่ใต้ปกครอง" ที่ต่างฝ่ายต่างก็เท่าเทียมกัน [2]
กฏหมายมหาชน คือ กฏหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ระหว่างรัฐหรือหน่วยงานของรัฐกับเอกชน หรือหน่วยงานของรัฐด้วยกัน ในฐานะที่รัฐหรือหน่วยงานของรัฐเป็น "ผู้ปกครอง" [3]
1.3 ข้อจำกัดของการแย่งแยกประเภทกฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชน
โดยหลักแล้วในการพิจารณาว่าเรื่องใดเป็นกฏหมายเอกชน เรื่องใดเป็นกฏหมายมหาชน จะคำนึงถึงเกณฑ์ทั้ง 4 ข้อดังกล่าวประกอบไปด้วยกัน แต่ก็ไม่อาจยึดถือเกณฑ์ทั้ง 4 ข้อนี้ได้ในทุกกรณี กล่าวคือ ในความเป็นจริงอาจมีกรณีที่รัฐหรือหน่วยงานของรัฐ ไม่ได้ดำเนินการเพื่อประโยชน์ส่วนตน ซึ่งทำให้เกิดข้อยกเว้นในการยึดถือเกณฑ์ทั้ง 4 ข้อดังกล่าวในการพิจารณา กล่าวคือ
1.3.1 ในแง่ของรัฐ
ในแง่ของรัฐ อาจไม่นำกฏหมายมหาชนมาใช้ในการดำเนินการของรัฐได้ในสองกรณี คือ
กรณีแรก รัฐหรือหน่วยงานของรัฐนั้นเลือกที่จะไม่ใช้กฏหมายมหาชน แต่เลือกสิ่งที่จะใช้กฏหมายเอกชนแทน ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการที่รัฐได้สละสิทธิในฐานะผู้ครองยอมลดตัวลงมาเท่ากับเอกชน ดังตัวอย่างเช่น เมื่อรัฐต้องการที่ดินไปสร้างโรงไฟฟ้า แทนที่รัฐจะใช้อำนาจในฐานะผู้ปกครองเวนคืนที่ดินของเอกชน รัฐกลับเลือกใช้การทำสัญญาซื้อที่ดินนั้นภายใต้กฏหมายเอกชนแทน แต่ในการเลือกใช้กฏหมายของรัฐนี้ จะต้องเป็นกรณีที่ไม่มีกฏหมายห้ามไว้ด้วย
กรณีที่สอง ในกรณีที่รัฐทำกิจกรรมที่มีลักษณะเหมือนกับกิจกรรมของเอกชน คือ รัฐทำการผลิตและจำหน่ายสินค้าหรือบริการเช่นเดียวกับเอกชน เช่น โรงงานยาสูบผลิตบุหรี่ขายแข่งกับเอกชน หรือองค์กรเภสัชกรรมผลิตอาหารขายแข่งกับเอกชน เป็นต้น กรณีนี้จึงจะต้องใช้กฏหมายเอกชนบังคับกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐซึ่งเป็นผู้ผลิตหรือใช้บริการกับเอกชนผู้ใช้บริการเพื่อความเป็นธรรมแก่เอกชน
1.3.2 ในแง่ของเอกชน
ในแง่ของเอกชน ในปัจจุบันเอกชนและรัฐหันมาร่วมมือกันมากขึ้น มีหลายกรณีที่เอกชนเข้ามาทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์สาธารณะ จึงมีกฏหมายให้อำนาจและสิทธิพิเศษแก่เอกชนในการทำกิจกรรมเพื่อประโยชน์สาธารณะบางอย่างได้ เช่นองค์กรวิชาชีพต่างๆ ซึ่งเป็นเอกชน
โดยหลักแล้วในการพิจารณาว่าเรื่องใดเป็นกฏหมายเอกชน เรื่องใดเป็นกฏหมายมหาชน จะคำนึงถึงเกณฑ์ทั้ง 4 ข้อดังกล่าวประกอบไปด้วยกัน แต่ก็ไม่อาจยึดถือเกณฑ์ทั้ง 4 ข้อนี้ได้ในทุกกรณี กล่าวคือ ในความเป็นจริงอาจมีกรณีที่รัฐหรือหน่วยงานของรัฐ ไม่ได้ดำเนินการเพื่อประโยชน์ส่วนตน ซึ่งทำให้เกิดข้อยกเว้นในการยึดถือเกณฑ์ทั้ง 4 ข้อดังกล่าวในการพิจารณา กล่าวคือ
1.3.1 ในแง่ของรัฐ
ในแง่ของรัฐ อาจไม่นำกฏหมายมหาชนมาใช้ในการดำเนินการของรัฐได้ในสองกรณี คือ
กรณีแรก รัฐหรือหน่วยงานของรัฐนั้นเลือกที่จะไม่ใช้กฏหมายมหาชน แต่เลือกสิ่งที่จะใช้กฏหมายเอกชนแทน ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการที่รัฐได้สละสิทธิในฐานะผู้ครองยอมลดตัวลงมาเท่ากับเอกชน ดังตัวอย่างเช่น เมื่อรัฐต้องการที่ดินไปสร้างโรงไฟฟ้า แทนที่รัฐจะใช้อำนาจในฐานะผู้ปกครองเวนคืนที่ดินของเอกชน รัฐกลับเลือกใช้การทำสัญญาซื้อที่ดินนั้นภายใต้กฏหมายเอกชนแทน แต่ในการเลือกใช้กฏหมายของรัฐนี้ จะต้องเป็นกรณีที่ไม่มีกฏหมายห้ามไว้ด้วย
กรณีที่สอง ในกรณีที่รัฐทำกิจกรรมที่มีลักษณะเหมือนกับกิจกรรมของเอกชน คือ รัฐทำการผลิตและจำหน่ายสินค้าหรือบริการเช่นเดียวกับเอกชน เช่น โรงงานยาสูบผลิตบุหรี่ขายแข่งกับเอกชน หรือองค์กรเภสัชกรรมผลิตอาหารขายแข่งกับเอกชน เป็นต้น กรณีนี้จึงจะต้องใช้กฏหมายเอกชนบังคับกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐซึ่งเป็นผู้ผลิตหรือใช้บริการกับเอกชนผู้ใช้บริการเพื่อความเป็นธรรมแก่เอกชน
1.3.2 ในแง่ของเอกชน
ในแง่ของเอกชน ในปัจจุบันเอกชนและรัฐหันมาร่วมมือกันมากขึ้น มีหลายกรณีที่เอกชนเข้ามาทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์สาธารณะ จึงมีกฏหมายให้อำนาจและสิทธิพิเศษแก่เอกชนในการทำกิจกรรมเพื่อประโยชน์สาธารณะบางอย่างได้ เช่นองค์กรวิชาชีพต่างๆ ซึ่งเป็นเอกชน
1.4 ประโยชน์ของการแบ่งประเภทกฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชน
การแบ่งแยกกฏหมายออกเป็นกฏหมายเอกชนกับกฏหมายมหาชน ก็เพื่อประโยชน์ดังต่อไปนี้ [4]
(1) ประโยชน์ในการนำคดีขึ้นสู่ศาล
ถ้าเป็นคดีในกฏหมายเอกชน เช่น คดีแพ่ง คดีอาญา องค์กรที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา คือ ศาลยุติธรรม ส่วนคดีในกฏมหาชนคือ ศาลยุติธรรม ส่วนคดีในกฏหมายมหาชนจะขึ้นต่อศาลที่มีความเชี่ยวชาญในด้านกฏหมาย
(3) ประโยชน์ในแง่กระบวนพิจารณา
กฏหมายเอกชนจะมีหลักเกณฑ์ในการดำเนินกระบวนพิจารณาและสืบพยานหลักฐานอย่างหนึ่ง ตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญาส่วนกฏหมายมหาชน ก็จะมีหลักเกณฑ์ในการดำเนินการกระบวนพิจารณาที่ต่างออกไป
1.5 การแยกสาขาย่อยในกฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชน
เมื่อได้ทราบถึงความหมาย ลักษณะ ตลอดจนหลักเกณฑ์ของกฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชนแล้ว ต่อมาเราจะศึกษาถึงการแยกสาขาย่อยว่า ทั้งในกฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชนนั้นแยกย่อยออกเป็นกฏหมายใดอีกบ้าง
1.5.1 การแยกสาขาย่อยในกฏหมายเอกชน
กฏหมายเอกชนเป็นกฏหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ระหว่างเอกชนในฐานะที่เท่าเทียมกัน สาขาย่อยของกฏหมายเอกชนจึงแยกได้ ดังนี้
(1) กฏหมายแพ่ง (Civill Law)
กฏหมายแพ่ง คือ กฏหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ของบุคคลในฐานะเอกชนทั่วไป ซึ่งประกอบไปด้วยเรื่องสถานะของบุคคล (คือ บุคคล ครอบครัว) เรื่องทรัพย์สิน(คือ ทรัพย์ มรดก) และเรื่องหนี้ (คือ บ่อเกิดแห่งหนี้และผลแห่งนี้)
(2) กฏหมายพาณิชย์ (Commercial Law)
กฏหมายพาณิชย์ คือ กฏหมายที่ใช้บังคับกับความสัมพันธ์ระหว่างเอกชน ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตและผู้จำหน่ายสินค้าเป็นปกติธุระ และครอบคลุมตั้งแต่การตั้งองค์กรทางธุรกิจ (ห้างหุ้นส่วน บริษัท) การจัดหาทุน การทำนิติกรรมทางพาณิชย์
1.5.2 การแยกสาขาย่อยในกฏหมายมหาชน
เมื่อกฏหมายมหาชนกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเอกชน จึงสามารถแยกประเภทของกฏหมายมหาชนได้ ดังนี้
(1) กฏหมายรัฐธรรมนูญ
(2) กฏหมายปกครอง
(3) กฏหมายการคลังและการภาษีอากร
(6) กฏหมายอาญา
กฏหมายอาญา คือ กฏหมายที่กำหนดความผิดทางอาญาพื้นฐานที่สังคมเห็นว่าเป็นการกระทำที่ต้องลงโทษ
ข้อสังเกตุ แม้กฏหมายอาญาจะเป็นกฏหมายที่มีรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแต่ก็ไม่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกฏหมามหาชน
(5) กฏหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
กฏหมายวิธีจารณาความแพ่ง คือ กฏหมายที่กำหนดเขตอำนาจศาลและการดำเนิน
(4) กฏหมายสังคม
กฏหมายสังคมจะประกอบไปด้วย กฏหมายแรงงานและกฏหมายประกันสังคม
(3) กฏหมายการเกษตร
กฏหมายการเกษตร คือ กฏหมายที่ว่าด้วยกิจกรรมทางการเกษตรเป็นส่วนใหญ่[5]
(2) ประโยชน์ในแง่เนื้อหาของกฏหมาย
กฏหมายเอกชนและกฏหมายของมหาชน จะมีหลักของเนื้อหากฏหมายต่างกันออกไป เพราะตั้งอยู่บนวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน
การแบ่งแยกกฏหมายออกเป็นกฏหมายเอกชนกับกฏหมายมหาชน ก็เพื่อประโยชน์ดังต่อไปนี้ [4]
(1) ประโยชน์ในการนำคดีขึ้นสู่ศาล
ถ้าเป็นคดีในกฏหมายเอกชน เช่น คดีแพ่ง คดีอาญา องค์กรที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา คือ ศาลยุติธรรม ส่วนคดีในกฏมหาชนคือ ศาลยุติธรรม ส่วนคดีในกฏหมายมหาชนจะขึ้นต่อศาลที่มีความเชี่ยวชาญในด้านกฏหมาย
(3) ประโยชน์ในแง่กระบวนพิจารณา
กฏหมายเอกชนจะมีหลักเกณฑ์ในการดำเนินกระบวนพิจารณาและสืบพยานหลักฐานอย่างหนึ่ง ตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญาส่วนกฏหมายมหาชน ก็จะมีหลักเกณฑ์ในการดำเนินการกระบวนพิจารณาที่ต่างออกไป
1.5 การแยกสาขาย่อยในกฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชน
เมื่อได้ทราบถึงความหมาย ลักษณะ ตลอดจนหลักเกณฑ์ของกฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชนแล้ว ต่อมาเราจะศึกษาถึงการแยกสาขาย่อยว่า ทั้งในกฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชนนั้นแยกย่อยออกเป็นกฏหมายใดอีกบ้าง
1.5.1 การแยกสาขาย่อยในกฏหมายเอกชน
กฏหมายเอกชนเป็นกฏหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ระหว่างเอกชนในฐานะที่เท่าเทียมกัน สาขาย่อยของกฏหมายเอกชนจึงแยกได้ ดังนี้
(1) กฏหมายแพ่ง (Civill Law)
กฏหมายแพ่ง คือ กฏหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ของบุคคลในฐานะเอกชนทั่วไป ซึ่งประกอบไปด้วยเรื่องสถานะของบุคคล (คือ บุคคล ครอบครัว) เรื่องทรัพย์สิน(คือ ทรัพย์ มรดก) และเรื่องหนี้ (คือ บ่อเกิดแห่งหนี้และผลแห่งนี้)
(2) กฏหมายพาณิชย์ (Commercial Law)
กฏหมายพาณิชย์ คือ กฏหมายที่ใช้บังคับกับความสัมพันธ์ระหว่างเอกชน ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตและผู้จำหน่ายสินค้าเป็นปกติธุระ และครอบคลุมตั้งแต่การตั้งองค์กรทางธุรกิจ (ห้างหุ้นส่วน บริษัท) การจัดหาทุน การทำนิติกรรมทางพาณิชย์
1.5.2 การแยกสาขาย่อยในกฏหมายมหาชน
เมื่อกฏหมายมหาชนกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเอกชน จึงสามารถแยกประเภทของกฏหมายมหาชนได้ ดังนี้
(1) กฏหมายรัฐธรรมนูญ
(2) กฏหมายปกครอง
(3) กฏหมายการคลังและการภาษีอากร
(6) กฏหมายอาญา
กฏหมายอาญา คือ กฏหมายที่กำหนดความผิดทางอาญาพื้นฐานที่สังคมเห็นว่าเป็นการกระทำที่ต้องลงโทษ
ข้อสังเกตุ แม้กฏหมายอาญาจะเป็นกฏหมายที่มีรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแต่ก็ไม่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกฏหมามหาชน
(5) กฏหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
กฏหมายวิธีจารณาความแพ่ง คือ กฏหมายที่กำหนดเขตอำนาจศาลและการดำเนิน
(4) กฏหมายสังคม
กฏหมายสังคมจะประกอบไปด้วย กฏหมายแรงงานและกฏหมายประกันสังคม
(3) กฏหมายการเกษตร
กฏหมายการเกษตร คือ กฏหมายที่ว่าด้วยกิจกรรมทางการเกษตรเป็นส่วนใหญ่[5]
(2) ประโยชน์ในแง่เนื้อหาของกฏหมาย
กฏหมายเอกชนและกฏหมายของมหาชน จะมีหลักของเนื้อหากฏหมายต่างกันออกไป เพราะตั้งอยู่บนวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน
2. กฏหมายสารบัญญัติและกฏหมายวิธีสบัญญัติ
กฏหมายสารบัญญัติ หมายถึง กฏหมายที่บัญญัติหน้าที่ถึงเนื้อหาของสิทธิ หน้าที่ ข้อห้าม
กฏหมายวิธีสบัญญัติ หมายถึง กฏหมายที่บัญญัติถึงกระบวนการในการยุติข้อพิพาทที่เกิดขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม อาจมีกรณีที่กฏหมายฉบับหนึ่งมีเนื้อหาที่เป็นทั้งส่วนสารบัญญัติและวิธีสบัญญัติรวมอยู่ด้วยกันได้ เช่น
พระราชบัญญัติล้มละลาย ซึ่งมีเนื้อหาในส่วนที่เกี่ยวกับหลักเกณฑ์องค์ประกอบ และสภาพบังคับ เป็นกฏหมายสารบัญญัติ และมีเนื้อหาที่กล่าวถึงวิธีการดำเนินคดีล้มละลาย ซึ่งเป็นกฏหมายวิธีสบัญญัติรวมอยู่ด้วย[6]
กฏหมายสารบัญญัติ หมายถึง กฏหมายที่บัญญัติหน้าที่ถึงเนื้อหาของสิทธิ หน้าที่ ข้อห้าม
กฏหมายวิธีสบัญญัติ หมายถึง กฏหมายที่บัญญัติถึงกระบวนการในการยุติข้อพิพาทที่เกิดขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม อาจมีกรณีที่กฏหมายฉบับหนึ่งมีเนื้อหาที่เป็นทั้งส่วนสารบัญญัติและวิธีสบัญญัติรวมอยู่ด้วยกันได้ เช่น
พระราชบัญญัติล้มละลาย ซึ่งมีเนื้อหาในส่วนที่เกี่ยวกับหลักเกณฑ์องค์ประกอบ และสภาพบังคับ เป็นกฏหมายสารบัญญัติ และมีเนื้อหาที่กล่าวถึงวิธีการดำเนินคดีล้มละลาย ซึ่งเป็นกฏหมายวิธีสบัญญัติรวมอยู่ด้วย[6]
3. กฏหมายประเภทอื่นๆ ในการแบ่งแยกกฏหมายออกเป็นประเภทต่างๆ นั้น โดยหลักแล้วการแบ่งแยกออกเป็น 2 กลุ่มคือ
กฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชน (ซึ่งแบ่งโดยถือลักษณะการใช้เป็นเกณฑ์)
ในส่วนนี้จะขอกล่าวถึงการแบ่งแยกกฏหมายออกเป็นประเภทอื่นๆ อยู่ 3 กรณีด้วยกัน กล่าวคือ
(1) กฏหมายภายในและกฏหมายภายนอก
(2) กฏหมายลายลักษณ์อักษรและกฏหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
(3) กฏหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญาและกฏหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง
กฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชน (ซึ่งแบ่งโดยถือลักษณะการใช้เป็นเกณฑ์)
ในส่วนนี้จะขอกล่าวถึงการแบ่งแยกกฏหมายออกเป็นประเภทอื่นๆ อยู่ 3 กรณีด้วยกัน กล่าวคือ
(1) กฏหมายภายในและกฏหมายภายนอก
(2) กฏหมายลายลักษณ์อักษรและกฏหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
(3) กฏหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญาและกฏหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง
3.1 กฏหมายภายในและกฏหมายภายนอก
การแบ่งประเภทออกเป็นกฏหมายในและกฏหมายนอกนี้ เป็นการแบ่งโดยยึดถือหลักเกณฑ์ที่แหล่งกำเนิดเป็นสำคัญ กล่าวคือ
3.1.1 กฏหมายภายใน
กฏหมายภายใน หมายถึง กฏหมายที่ใช้บังคับภายในประเทศ ซึ่งออกโดยองค์กรที่มีอำนาจในการตรากฏหมายของประเทศนั้น
3.1.2 กฏหมายภายนอกหรือกฏหมายระหว่างประเทศ
กฏหมายระหว่างประเทศนั้น เป็นกฏหมายที่บัญญัติขึ้นโดยองค์การระหว่างประเทศหรือเกิดขึ้นจากความตกลงระหว่างประเทศสมาชิกที่เห็นพ้องต้องกันที่จะยอมรับกฏหมายหรือข้อตกลงระหว่างประเทศนั้น
กฏหมายระหว่างประเทศ อาจแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 3 ประเภท ด้วยกันคือ
(1) กฏหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง (Public International Law)
(2) กฏหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล (Private International Law)
(3) กฏหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา (International Criminal Law)
การแบ่งประเภทออกเป็นกฏหมายในและกฏหมายนอกนี้ เป็นการแบ่งโดยยึดถือหลักเกณฑ์ที่แหล่งกำเนิดเป็นสำคัญ กล่าวคือ
3.1.1 กฏหมายภายใน
กฏหมายภายใน หมายถึง กฏหมายที่ใช้บังคับภายในประเทศ ซึ่งออกโดยองค์กรที่มีอำนาจในการตรากฏหมายของประเทศนั้น
3.1.2 กฏหมายภายนอกหรือกฏหมายระหว่างประเทศ
กฏหมายระหว่างประเทศนั้น เป็นกฏหมายที่บัญญัติขึ้นโดยองค์การระหว่างประเทศหรือเกิดขึ้นจากความตกลงระหว่างประเทศสมาชิกที่เห็นพ้องต้องกันที่จะยอมรับกฏหมายหรือข้อตกลงระหว่างประเทศนั้น
กฏหมายระหว่างประเทศ อาจแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 3 ประเภท ด้วยกันคือ
(1) กฏหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง (Public International Law)
(2) กฏหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล (Private International Law)
(3) กฏหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา (International Criminal Law)
9. ท่านเข้าใจถึงคาว่าศักดิ์ของกฎหมายคืออะไรมีการแบ่งอย่างไร
ตอบ ศักดิ์ของกฎหมายคือ เป็นการจัดลำดับแห่งค่าบังคับของกฎหมายหรืออาจกล่าวได้ว่าอาศัยอำนาจขององค์กรที่ใช้อำนาจจากองค์กรที่แตกต่างกัน” จากประเด็นดังกล่าวพอที่จะกล่าวต่อไปได้อีกว่า ในการจัดลำดับมีการจัดอย่างไร ซึ่งจะต้องอาศัยหลักว่า กฎหมายหรือบทบัญญัติใดของกฎหมายที่อยู่ในลำดับที่ต่ำกว่า จะขัดหรือแย้งกับกฎหมายในลาดับที่สูงกว่าไม่ได้และเราจะพิจารณาอย่างไร โดยพิจารณาจากองค์กรที่มีอำนาจในการออกกฎหมาย โดยใช้เหตุผลที่ว่า
(1) การออกกฎหมายโดยฝ่ายนิติบัญญัติ ควรจะเป็นกฎหมายเฉพาะที่สำคัญ เป็นการกำหนดหลักการและนโยบายเท่านั้น เช่น พระราชบัญญัติที่ออกโดยรัฐสภาซึ่งเป็นตัวแทนของปวงชน
(2) การให้รัฐสภา เป็นการทุ่นเวลา และทันต่อความต้องการและความจาเป็นของสังคม
(3) ฝ่ายบริหารหรือองค์กรอื่นจะออกกฎหมายลูกจะต้องอยู่ในกรอบของหลักการและนโยบายในกฎหมายหลักฉบับนั้น
มีการแบ่ง
1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2.พระราชบัญญัติและประมวลกฎหมาย
3. พระราชกำหนด 4. ประกาศพระบรมราชโองการให้ใช้บังคับ
5. พระราชกฤษฎีกา 6. กฎกระทรวง
7. ข้อบัญญัติจังหวัด 8. เทศบัญญัติ
9. ข้อบังคับองค์การบริหารส่วนตำบล
10. เหตุการณ์เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 มีเหตุการณ์ชุมนุมของประชาชนณลานพระบรมรูปทรงม้าและประชาชนได้ประกาศว่าจะมีการประชุมอย่างสงบแต่ปรากฏว่ารัฐบาลประกาศเป็นเขตพื้นที่ห้ามชุมนุมและขัดขว้างไม่ให้ประชาชนชุมนุมอย่างสงบลงมือทำร้ายร่างกายประชาชนในฐานะท่านเรียนวิชานี้ท่านจะอธิบายบอกเหตุผลว่ารัฐบาลกระทำผิดหรือถูก
ตอบ เป็นการกระทำที่ผิด เพราะ ประชาชนมีสิทธิที่จะเรียกร้องสิทธิของตนเองกันทั้งนั้น แต่ถ้ารัฐบาลกระทำรุนแรงกับประชาชนแล้วสิทธิของประชาชนจะตั้งไว้เพื่อทำอะไร เพราะในรัฐธรรมนูญ ระบุอยู่แล้วว่า หน้าที่ของประชาชน
1. บุคคลมีหน้าที่รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และการครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
2. บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศ
3. บุคคลมีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย
4. บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิของตนเอง
11. ท่านมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่ากฎหมายการศึกษาอย่างไรจงอธิบาย
ตอบ กฎหมายการศึกษา เป็นบทบัญญัติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้มีกฎหมายการศึกษาขึ้น ที่จะเชื่อมโยงกับกฎหมายรัฐธรรมนูญว่าด้วยการศึกษาคือ จะเป็นกฎหรือคำสั่งหรือข้อบังคับของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาที่สถาบันหรือหน่วยงานผู้มีอำนาจได้ตราขึ้นบังคับใช้ และถือว่ากฎหมายทางการศึกษาฉบับแรกคือ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ เพื่อให้ครูและบุคลากรและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจกฎหมายการศึกษาให้มากขึ้น กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา จะสามารถนำไปใช้ในการปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้องเกิดประโยชน์สูงสุดต่อการศึกษาของชาติอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป เพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนของชาติให้เป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณค่าทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา มีความรู้คู่คุณธรรม
12. ในฐานะที่นักศึกษาเรียนวิชานี้ ถ้าเราไม่ศึกษากฎหมายการศึกษา ท่านคิดว่าเมื่อท่านไปประกอบอาชีพครูจะมีผลกระทบต่อท่านอย่างไร
ตอบ กฎหมายทางการศึกษา เป็นหัวใจสำคัญในการศึกษา ที่จะทำให้คนมาเป็นครูได้นั้นจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับ กฎหมาย ว่ามีอะไรบ้าง มีข้อห้าม ข้อควรปฏิบัติอย่างไรทำให้เราได้เข้าใจและนำไปให้ทางการศึกษา การเรียนการสอน ฉะนั้น ถ้าเราไม่รู้กฎหมายทางการศึกษาจะทำให้เกิดผลกระทบหลายด้านไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ การจัดการศึกษา การเรียนการสอนในด้านการเมืองของประเทศต่างๆ และบ้านเมืองของเรา อย่างไรที่จะต้องเป็นไป เพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดารงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข และจะต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษานั้นต้องทำอย่างไร สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานที่คนเป็นครูจะต้องทราบเพื่อจะได้ส่งเสริมกระบวนการจัดการศึกษาให้ผู้เรียน ได้พัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ และเราไม่ศึกษากฎหมายการศึกษาก็จะทำให้เราไม่รู้ว่ากฎหมายต่างๆ ว่ามีอะไรบ้าง และไม่สามารถที่จะสอนนักเรียนได้ และไม่สามารถสอนให้นักเรียนเป็นพลเมืองดีของบ้านเมืองประเทศชาติเราได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น